กิ๊ก มยุริญ กับชีวิตติดธรรมะ 20 กว่าปี ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
ถึงแม้ว่าในจอมีรับบทบาทร้ายๆ บ้าง แต่ต้องบอกว่าในชีวิตจริงของนักแสดง กิ๊ก มยุริญ ช่างแตกต่างกันสุดขั้ว เพราะนอกจอเธอเป็นสายบุญตัวจริงเสียงจริง ชนิดที่เรียกได้ว่า ชีวิตธรรมะ
อย่างก่อนหน้านี้ก็จะเห็นเจ้าตัวถึงขั้นลางานในวงการบันเทิง ไปบวชชีที่พม่าเป็นเวลาถึง 7 เดือน แต่ถ้านับเป็นระยะเวลาที่เจ้าตัวปฏิบัติมาก็ 20 กว่าปีที่ชีวิตผูกติดกับธรรมะ

ซึ่งที่เจ้าตัวบอก อินมากตอนอายุ 23 ที่ถ้าเปรียบกับวัยรุ่นทั่วไปก็คงเป็นช่วงที่น่าจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ แต่สำหรับเธอนั้นไม่ เพราะมันมีเหตุให้มาทางนี้ โดยเธอก็เล่าอีกว่า
จนทำให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง?
“ต้องบอกว่าเปลี่ยนแปลงมาก มากขึ้นที่เปลี่ยนเปลี่ยนหนักๆ เลยก็หลังจากที่บวชชีกลับมาเนี่ยค่ะ คือเมื่อก่อนเราปฏิบัติแต่เราจะมีความสงสัยตลอดว่าเอ๊ะๆ เราปฏิบัติเรื่อยๆ เราจะเจออะไร พระนิพพานมันอยู่ที่ไหนหนอ เราจะไปถึงพระนิพพานได้อย่างไร
แต่หลังจากที่ไปปฏิบัติมาต่อเนื่อง 7 เดือน ก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร แม้เรายังไม่มีดวงตาเห็นธรรมที่ชัดเจน แต่ว่ารู้ว่าถนนเส้นนี้มีจริง พระนิพพานถึงได้จริงด้วยตัวของเราอง และพระนิพพานอยู่ที่ใจของเราทุกคน พระนิพพาน ก็คือ สภาวะที่เราสงบเย็น เป็นสุข และเป็นสภาวะที่สุขและไม่เปลี่ยนแปลง สุขที่เป็นนิรันดร มีสภาวะเดียว คือสภาวะพระนิพพานเท่านั้นนะคะ”
พร้อมกับเล่าว่า
“จริงๆ ธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก ธรรมะเป็นเรื่องของเราทุกคนนะคะ คือธรรมะ แปลว่า ธรรมชาติ และ ธรรมชาติ แปลว่า ธรรมดา ที่เป็นจริงและถูกต้อง เพราะฉะนั้นเนี่ยธรรมะเป็นเรื่องของทุกคนใช่ไหม เป็นเรื่องธรรมดาของสรรพชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้ เอาง่ายๆ เลยนะ พื้นฐานของธรรมะง่ายๆ
คุณเกิดมาแล้ว คุณต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากคนที่รัก และเราทุกคนก็มีกรรมเป็นของตน ถ้าพูดมาแค่ 5 ข้อเนี่ยว่าจริงไหมคะ เพราะฉะนั้นก็อยากจะเรียนว่าธรรมะมันเป็นเรื่องจริงของทุกสรรพชีวิตที่เกิดมา หากเรารู้วิธีการเรียนรู้ที่จะอยู่กับเขา
คือพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตาย การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก การมีกรรมเป็นของตนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว แต่หากเราสามารถที่จะลดละกิเลสของเรา ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้าเราสามารถลดรับประหารเขาได้ด้วยใจเจริญสติปัฏฐาน 4 ด้วยการมีสติอยู่ตลอด และปฏิบัติตามพระอริยมรรค มีองค์ 8 เราจะสามารถไถ่ถอนกิเลสต่างๆ ให้ออกไปจากใจเราได้หมด ถ้าได้หมดเลยก็จะไม่มีเชื้อของกิเลศนำกลับมาเกิดอีก เมื่อไม่เกิด ก็ไม่ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายจริงไหม”
ส่วนถ้าถามว่าปฏิบัติ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ก็ยังมีความรู้สึก มีรัก โลภ โกรธ หลง เจ้าตัวเลยได้ให้แง่คิดไว้แบบยาวๆ ว่า
“คืออย่างนี้ค่ะ พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติ ซึ่งสติในที่นี้ไม่ใช่ว่านานๆ มีทีนะคะ แต่ให้มีสติทุกวินาที เพราะฉะนั้นในช่วงที่มีความรู้สึกโลภโกรธ หลง หงุดหงิด ไม่พอใจ นั่นหมายความว่าเรายังมีเชื้อของกิเลสที่ไม่ดีอยู่ในจิตใจของเรา หน้าที่ของเราก็เพียงทำได้แค่ลดละมันด้วยการมีสติ รู้ให้ทันแค่นั้นองค่ะ ถ้ารู้ทัน กิเลสมันทำงานต่อไม่ได้ พอเรารู้ปุ๊บมันหยุด และทุกครั้งที่เรารู้ทัน รู้ทันจริงๆ มันเหมือนเราตัดกิเลสให้มันสั้นลงๆ ไถ่ถอนมันเป็นที่ละขณะๆ ลดกิเลสด้วยการมีสติ รู้เท่าทัน พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วว่าโลกมันก็เป็นเช่นนี้
กิเลศมันก็เป็นเช่นนี้ แต่กิเลสกับใจมันคนละส่วนนะ เพราะฉะนั้นท่านก็ให้เราระลึกรู้ว่า เราทุกคนมีเรื่องเศร้าหมองอยู่ในใจ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็คือเพียรปฏิบัติเพื่อลดละมันไปเรื่อยๆ โดยที่ฝึกจิตให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ด้วยการมีสติ เมื่อมีสติ อะไรโผล่ขึ้นมา ก็ให้เรารู้ทัน ก็คือการถอนออกไป ค่อยๆ ถอนออกไป จนกระทั่ง สติ สมาธิ ศีล ปัญญา มันบริบูรณ์เมื่อไหร่ มันก็เหมือนมันบาลานซ์กันปุ๊บ จิตมันก็จะเป็นกลาง แล้วมันก็จะชิดเข้าสู่สภาวะที่เป็นสุข ก็คือ พระนิพพานเอง”